หลักการเพิ่มผลผลิตพืชชนิดต่างๆ ด้วย ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้
โดย รองศาสตราจารย์อุทัย คันโธ และ ดร. อุทัยวรรณ คันโธ
1.1 พื้นฐานการเติบโต การให้ผลผลิต และการใช้ประโยชน์ของต้นพืช พืชทุกชนิด เมื่อเริ่มเติบโตจากเมล็ด หรือแยกตัวมาจากต้นแม่ ต้นพืชจะมีการเติบโตและมีการให้ผลผลิต รวมทั้งมีการสืบพันธุ์ การขยายพันธุ์ ฯลฯ ตามชีพจักร (life cycle) ได้แก่ การเกิด-เติบโต-หนุ่มสาว-ให้ผลผลิต-สืบพันธุ์-แก่-เจ็บป่วย-ตาย ของพืชนั้นๆ ซึ่งพืชแต่ละชนิด จะมีลักษณะชีพจักรที่เฉพาะเป็นของตัวเอง โดยมีลักษณะพันธุกรรมและลักษณะทางชีววิทยาของพืชนั้นๆ เป็นตัวควบคุม พืชทุกชนิดจะมีชีพจักรดังกล่าวทุกพืช
ต้นพืชทุกชนิด มีอวัยวะหรือส่วนต่างๆ ของต้นพืช ได้แก่ ลำต้น ราก ใบ ดอก ผล ฯลฯ เป็นองค์ประกอบ ซึ่งส่วนต่างๆ ของพืชเหล่านี้ มีสารเคมี ได้แก่ น้ำ โปรตีน แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไวตามิน แร่ธาตุ และสารเมตาโบไลท์ทุติยภูมิ (secondary metabolites) เป็นองค์ประกอบหลักด้วย โดยสารเคมีเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของต้นพืช สารเคมีเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนพืช สารต้านโรคแมลงต่างๆ ฯลฯ ทำให้ต้นพืชมีการเติบโต การให้ผลผลิต การสืบพันธุ์ เป็นปกติ รวมทั้งทำให้ต้นพืชมีความต้านทานต่อโรคแมลงต่างๆ ที่จะมาทำลายต้นพืช ทำให้ต้นพืชมีชีวิตรอด และมีการสืบพันธุ์/การขยายพันธุ์ต่อไปบนโลกนี้ หรือทำให้ต้นพืชสามารถคงเผ่าพันธุ์ไว้ได้บนโลกนี้นั่นเอง
ต้นพืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถสูงโดยธรรมชาติ ต้นพืชมีความสามารถสังเคราะห์ หรือ สร้างสารต่างๆ ข้างต้นที่พืชต้องการได้เองทั้งหมด ด้วย กระบวนการสังเคราะห์แสง หรือ กระบวนการปรุงอาหาร (photosynthesis) ซึ่งเกิดขึ้นที่ ใบพืช และ ต้นพืชตรงส่วนที่มีสีเขียว หรือ ส่วนที่มีสารคลอโรฟิลล์ (chlorophylls) โดยพืชจะใช้ปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งได้จากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
1. แสงแดด (sunlight)
2. ก๊าซคาร์บอนไดออกโซด์ (carbon dioxide; CO₂)
3. น้ำ (water; H₂O)
4. ธาตุอาหารพืช (plant nutrient)
ส่วนประกอบของต้นพืช
จากกระบวนการปรุงอาหารดังกล่าว พืชจะสร้าง น้ำตาลกลูโคส (glucose) ขึ้นมาก่อน จากนั้น น้ำตาลกลูโคสดังกล่าวจะถูกนำไปสังเคราะห์หรือสร้างเป็นสารต่างๆ ที่พืชต้องการ ได้แก่ โปรตีน แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไวตามิน แร่ธาตุ และสารเมตาโบไลท์ทุติยภูมิต่างๆ แล้วพืชก็จะนำสารต่างๆ เหล่านี้ไปสร้างเป็นเซลล์ องค์ประกอบของเซลล์ และเป็นอวัยวะหรือส่วนต่างๆ ของต้นพืช ทำให้พืชมีการเติบโต การให้ผลผลิต การสืบพันธุ์/การขยายพันธุ์ รวมทั้งความต้านทานโรคแมลง ฯลฯ ของต้นพืชต่อไป ดังแสดงในแผนภาพที่ 1
แผนภาพที่ 1 การปรุงอาหาร การให้ผลผลิต และการใช้ประโยชน์ของต้นพืช
เปรียบเทียบต้นข้าวปลูกโดยวิธีปกติ กับการปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้ | ต้นข้าวที่ได้รับธาตุอาหารครบถ้วน มีการเติบโตดี แตกกอมาก ลำต้นแข็งแรง ให้รวงข้าวมาก และมีขนาดใหญ่ |
ข้าวหอมมะลิที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้ มีการเติบโตดี ลำต้นสูงใหญ่ ออกรวงมาก รวงข้าวใหญ่ ต้นไม่ล้ม | ต้นข้าวสมบูรณ์ แข็งแรง แตกกอมาก ให้รวงข้าวจำนวนมาก รวงข้าวมีขนาใหญ่ ผลผลิตเพิ่ม 1.5-2 เท่าตัว |
รวงข้าวมีขนาดใหญ่ เมล็ดเต็ม คุณภาพเมล็ดข้าวดีขึ้น กินอร่อย มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสูง | แม้ต้นข้าวให้ผลผลิตสูง รวงข้าวหนักและมีขนาดใหญ่ แต่ต้นข้าวแข็งแรง ไม่ล้ม ทำให้ผลผลิตสูงและเก็บเกี่ยวง่าย |
จะเห็นได้ว่า ในสภาพการปลูกมันสำปะหลังทั่วไป ต้นมันสำปะหลังได้รับน้ำ และธาตุอาหารพืช โดยเฉพาะธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ ไม่เพียงพอแก่ความต้องการ จึงทำให้การปรุงอาหารของต้นมันสำปะหลังลดลงเป็นอย่างมาก มีผลทำให้ต้นมันสำปะหลังโตช้า ต้นเตี้ย ใบบนต้นน้อย ใบเล็ก มีโรคแมลงเข้าทำลายได้ง่าย ต้นมันสำปะหลังมีหัวน้อย และหัวมีขนาดเล็ก เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ จึงทำให้มันสำปะหลังให้ผลผลิตต่ำมาก โดยได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2,500-3,500 กก./ไร่ เท่านั้น อีกทั้งหัวมันสำปะหลังก็มีเปอร์เซ็นต์แป้งต่ำด้วย
การปลูกมันสำปะหลังโดยทั่วไป ต้นมันสำปะหลังได้รับธาตุอาหารไม่ครบถ้วน และมักได้รับน้ำไม่เพียงพอ จึงมีการปรุงอาหารน้อย ต้นมันสำปะหลังมีขนาดเล็ก ให้หัวน้อย ขนาดเล็ก และให้ผลผลิตต่ำ 2.5-3.5 ตัน/ไร่
มีงานวิจัยและมีเกษตรกรจำนวนมากพยายามที่จะให้น้ำแก่ต้นมันสำปะหลังในช่วงฤดูแล้ง เช่น การให้น้ำแบบน้ำหยด น้ำหยอด น้ำพุ่ง ฯลฯ ซึ่งก็ปรากฏว่ามันสำปะหลังให้ผลผลิตสูงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยได้ผลผลิต 7,000-9,000 กก./ไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ดูแลของเกษตรกรด้วยซึ่งการปฏิบัติการให้น้ำในการปลูกมันสำปะลังเริ่มเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ซึ่งหากวิเคราะห์องค์ประกอบปัจจัยการปรุงอาหารของต้นมันสำปะหลังดังกล่าว
ดังแสดงไว้ในแผนภาพที่ 6
แผนภาพที่ 6 วิเคราะห์ปัจจัยการปรุงอาหารของมันสำปะหลังและผลผลิตมันสำปะหลังในสภาวะการปลูกมันสำปะหลังที่การให้น้ำชลประทานช่วย
การให้น้ำแก่ต้นมันสำปะหลังที่ปลูกในแปลง ทำให้ต้นมันสำปะหลังได้รับปัจจัยการปรุงอาหารสมบูรณ์มากขึ้น จึงมีการปรุงอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะการได้รับน้ำจนเพียงพอแก่ความต้องการ ช่วยทำให้ผลผลิตหัวมันสำปะหลังสูงขึ้นเป็น 7,000-9,000 กก./ไร่ แต่อย่างไรก็ตาม ต้นมันสำปะหลังยังไม่ได้ให้ผลผลิตสูงสุด เพราะยังได้รับธาตุอาหารพืช โดยเฉพาะธาตุอาหารรองและจุลธาตุ ไม่เพียงพอแก่ความต้องการ
การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้ ซึ่งเป็นแหล่งเสริมธาตุอาหารรองและจุลธาตุ ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมีที่เป็นแหล่งให้ธาตุอาหารหลัก (NPK) เช่นปุ๋ยสูตร 16-16-16 ฯลฯ จะทำให้ต้นมันสำปะหลังได้รับธาตุอาหารพืชทุกชนิดครบตามความต้อง จึงทำให้ต้นมันสำปะหลังได้รับปัจจัยการปรุงอาหารทุกปัจจัยครบตามความต้องการ และมีการปรุงอาหารอย่างเต็มที่ ต้นมันสำปะหลังมีการเติบโตดี ต้นสูงใหญ่ ใบดก ใบใหญ่และหนา มีสีเขียวจัด ต้นมันสำปะหลังจะมีรากจำนวนมากและมีหัวดก หัวมีขนาดใหญ่ และเปอร์เซ็นต์แป้งดี ทำให้ได้ผลผลิตหัวมันสำปะหลังใกล้เคียงกับ 100% ของศักยภาพพันธุกรรม ซึ่งหากวิเคราะห์องค์ประกอบปัจจัยการปรุงอาหารของต้นมันสำปะหลังดังกล่าว ดังแสดงไว้ในแผนภาพที่ 7
แผนภาพที่ 7 วิเคราะห์ปัจจัยการปรุงอาหารของมันสำปะหลังและผลผลิตมันสำปะหลังในสภาวะการปลูกมันสำปะหลังที่การให้น้ำและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้
ต้นมันสมบูรณ์ ลำต้นสูงใหญ่ ใบใหญ่ ใบมาก | ต้นมันสำปะหลังเมื่ออายุเลย 3-4 เดือนไปแล้ว รากมันเริ่มสะสมแป้ง |
โดยพบว่า พืชทุกชนิด เมื่อได้รับ ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้ ควบคู่กับการใช้ปุ๋ยเคมีที่เกษตรใช้อยู่เดิม จะมีการเติบโตที่รวดเร็ว ต้นและใบมีขนาดใหญ่ มีใบจำนวนมาก ออกดอกและติดผลมาก ผลมีขนาดใหญ่ พืชที่ต้องมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างต่อเนื่อง เช่น มะเขือเทศ พริก ถั่วต่างๆ ฯลฯ พบว่า ต้นพืชจะมีอายุเก็บเกี่ยวยาวนานมากขึ้น เก็บผลผลิตได้หลายครั้งมากขึ้น โดยที่ต้นแม่ไม่โทรม จึงทำให้ผลผลิตพืชเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ต้นพืชยังมีความสมบูรณ์แข็งแรง มีความต้านทานโรคแมลงดี ป่วยเป็นโรคและมีแมลงรบกวนน้อยมาก เกษตรกรใช้ยาหรือสารกำจัดศัตรูพืชน้อยมาก หรือไม่ต้องใช้เลย ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ และเกษตรกรได้รายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม้ยืนต้นโดยทั่วไป ได้แก่ ไม้ผลต่างๆ เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ ส้ม ลำไย มะม่วง ฯลฯ และไม้ยืนต้น อุตสาหกรรม เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ฯลฯ เมื่อให้ผลผลิตมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ต้นพืชจะเริ่มมีสภาพทรุดโทรม ให้ผลผลิตลดลง คุณภาพของผลผลิตด้อยลง อีกทั้งไม้ยืนต้นเหล่านั้นจะมีความต้านทานโรคและแมลงลดลงด้วย จึงเป็นสาเหตุทำให้โรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่ายมาก เกษตรกรต้องใช้ยาและสารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชมาก ต้นทุนการผลิตพืชสูง เกษตรกรมีรายได้น้อยหรือขาดทุน นอกจากนี้ ยังมีต้นพืชจำนวนมากทีมีสภาพทรุดโทรมมาก และไม่สามารถให้ผลผลิตได้อีกต่อไป จึงยืนต้นอยู่เฉยๆ โดยไม่ให้ผลผลิตแต่ประการใด ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการที่ต้นพืชได้รับธาตุอาหารพืชต่างๆ ไม่ครบตามความต้องการ เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้น ก็มีการใช้ปุ๋ยเคมี เช่นปุ๋ยยูเรีย ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 ฯลฯ ซึ่งให้ธาตุอาหารหลัก (NPK) เป็นหลัก แต่ไม่มีการเสริมธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ แก่ต้นพืชประการใด ในขณะที่ต้นพืชที่มีการเติบโต และมีการให้ผลผลิตต่างๆ จะมีการดูดธาตุอาหารทุกชนิดทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ จากดิน เพื่อไปสร้างผลผลิตดังกล่าว ดังนั้นปริมาณธาตุอาหารในดินจึงลดลงตลอดเวลา การให้ปุ๋ยเคมีที่ให้เฉพาะธาตุอาหารหลัก (NPK) โดยไม่มีการให้ปุ๋ยที่เป็นแหล่งธาตุอาหารรอง และจุลธาตุในการปลูกต้นไม้ผล หรือไม้ยืนต้นเลย สุดท้ายปริมาณธาตุอาหารรองและจุลธาตุในดินที่ปลูกพืชนั้น จะต่ำมากจนไม่เพียงพอแก่ความต้องการของต้นพืช และต้นพืชจะแสดงอาการทรุดโทรม เป็นโรคง่าย และไม่ให้ผลผลิต
จากการทดลองในภาคสนามพบว่า การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้ ที่เป็นแหล่งเสริมธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ ร่วมกับ การใช้ปุ๋ยเคมีที่ให้ธาตุอาหารหลัก (NPK) เป็นหลัก เช่น ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 ฯลฯ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกไม้ผลดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดย
1. ช่วยฟื้นฟูไม้ยืนต้น ที่มีสภาพทรุดโทรม มีโรครบกวน และไม่ให้ผลผลิต ให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม หรือมากกว่าเดิม และมีการให้ผลผลิตเต็มที่ตามศักยภาพพันธุกรรมของพืชนั้น
2. ช่วยทำให้ไม้ยืนต้นที่ยังไม่โทรม และยังให้ผลผลิตอยู่เป็นปกติ มีการให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นจนเต็มที่ตามศักยภาพพันธุกรรม ผลไม้หรือผลิตผลของต้นพืชมีคุณภาพดี ในขณะที่ต้นแม่ยังรักษาสภาพความสมบูรณ์ ไม่ทรุดโทรมในระหว่างการให้ผลผลิต ต้นแม่ยังมีความต้านทานโรคและแมลงดี และมีความพร้อมในการให้ผลผลิตในรอบต่อไป อายุการให้ผลผลิตของไม้ยืนต้นนั้นยาวนาน
1.4 ศักยภาพการเพิ่มผลผลิตพืชของประเทศไทย การปลูกพืชในประเทศไทย หากต้นพืชได้รับปัจจัยการปรุงอาหารต่างๆ ได้แก่ แสงแดด อากาศ (CO₂) น้ำ และธาตุอาหารพืช 14 ชนิด ครบตามความต้องการ ต้นพืชมีแนวโน้มที่จะให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกพืชในเขตหนาว ทั้งนี้เนื่องจาก ประเทศไทยมี แสงแดด ที่แรงมาก มีความเข้มแสงสูง มีความยาวแสงในแต่ละวันมาก และมีอุณหภูมิเหมาะสมในการปลูกพืชมากกว่าประเทศในเขตหนาวอยู่แล้ว ดังนั้น เพียงแต่เกษตรกรให้ต้นพืชได้รับ น้ำ กับ ธาตุอาหารพืช 14 ชนิด ครบตามความต้องการจริงๆ ต้นพืชก็จะให้ผลผลิตสูงเต็มที่ตามศักยภาพพันธุกรรมของพืชนั้น ต้นทุนการผลิตพืชต่ำสุด เกษตรกรมีรายได้สูงสุด และประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอาหาร และยาจากพืช เลี้ยงพลโลกได้อย่างแท้จริง
1.5 บทสรุปแนวทางการเพิ่มผลผลิตพืชในประเทศไทย
การปลูกพืชเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด และประสิทธิภาพการปลูกพืชดีที่สุด ต้นพืชที่ปลูกต้องได้รับปัจจัยจำเป็นในการปรุงอาหาร 4 ปัจจัย ได้แก่ แสงแดด อากาศ (CO₂) น้ำ และธาตุอาหารพืช 14 ชนิด ครบตามความต้องการของพืชนั้นๆ
เมื่อพืชได้รับปัจจัยการปรุงอาหารข้างต้นครบตามความต้องการ ต้นพืชจะมีการปรุงอาหารสูงสุด จึงทำให้มีการเติบโต การให้ผลผลิต และความต้านทานโรคแมลง สูงสุดตามศักยภาพพันธุกรรม พืชให้ผลผลิตสูง มีการใช้ยาและสารเคมีในการกำจัดโรคแมลงน้อยหรือไม่ต้องใช้เลย ประสิทธิภาพการผลิตพืชสูงสุด อันนำมาซึ่งต้นทุนการผลิตพืชต่ำสุด และเกษตรกรได้รายได้สูงสุด ไม่ว่าจะปลูกพืชนั้นบนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างไร
การปลูกพืชโดยทั่วไปในประเทศไทย ดินมักมีสภาพเสื่อมโทรม มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยเคมีที่ให้ธาตุอาหารหลัก (NPK) เป็นหลัก โดยไม่มีการใช้ปุ๋ยธาตุอาหารรองและจุลธาตุเลย ต้นพืชจึงมักได้รับธาตุอาหารพืช โดยเฉพาะธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ ไม่เพียงพอแก่ความต้องการ และเป็นเหตุให้พืชมีการปรุงอาหารน้อย การเติบโตและการให้ผลผลิตน้อย ความต้านทานโรคแมลงต่ำ ต้องมีการใช้ยาและสารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชมาก ต้นทุนการผลิตพืชสูง และเกษตรกรมีรายได้น้อย หรือขาดทุน
จากการทดลองในภาคสนาม การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ เพชรใบไม้ ที่เน้นการให้ธาตุอาหารรอง และจุลธาตุ เป็นหลัก ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมีที่ให้ธาตุอาหารหลัก (NPK) เป็นหลัก ในการปลูกพืชชนิดต่างๆ พบว่า ช่วยทำให้ต้นพืชได้รับธาตุอาหารพืชต่างๆ ครบตามต้องการ ต้นพืชมีการเติบโต การให้ผลผลิต และมีความต้านทานโรคแมลงสูงสุด เกษตรกรลดหรืองดการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชลงได้ ต้นทุนการผลิตพืชต่ำสุด เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากสุดทุกราย ไม่ว่าจะปลูกพืชนั้นบนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์แตกต่างกันอย่างไร ช่วยให้การปลูกพืชเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี มั่นคง และยั่งยืนตลอดไป